
Mycelium gurl
Everything Is Connected

เรากำลังสูดหายใจเข้าเอาอากาศที่ข้ามน้ำข้ามทะเลมาจากอีกทวีปใด ทวีปหนึ่งในโลกใบนี้... คุณฟังไม่ผิดหรอก ฉันกำลังจะสื่อสารออกมาอย่างนั้นจริงๆ
คุณอาจจะเคยได้ยินปรัชญาของหลายๆศาสนาต่างบอกว่า จริงๆแล้วทุกสิ่งทุกอย่างในโลกเชื่อมโยงถึงกันหมด แต่ถ้าเราอยากพิสูจน์คำๆนี้หล่ะ ว่ามีอยู่จริงหรือไม่ เราจะพิสูจน์ได้อย่างไร?
Tom chi ผู้ร่วมก่อตั้ง Google X ผู้ที่ชื่นชอบการคำนวณเป็นชีวิตจิตใจ ได้วิเคราะห์ และ คำนวณ
อธิบายถึงเรื่องนี้ไว้ว่า โลก และตัวเรานั้น เชื่อมโยงกันได้อย่างไรด้วยหลักวิทยาศาสตร์ว่า
ร่างกายเรานั้นก็ประกอบด้วยสสารหลากหลายชนิด ของแข็ง ของเหลว ธาตุ อากาศ ก๊าซ และใดใด

Photo : fayerwayer.com
โดยปกติแล้วร่างกายเราจะแลกเปลี่ยนสสารที่เข้าไปในร่างกาย ประมาณ 1 กิโลกรัมต่อวัน
โดยเฉลี่ยแล้ว เป็นของเหลว 2.5 กิโลกรัม (น้ำ,อาหาร) และ อากาศ 0.8 กิโลกรัม คิดเป็น 7% ของร่างกายนึกให้เห็นภาพง่ายๆก็ประมาณ แขนของเรา 1 ท่อน
ผ่านไป 2 อาทิตย์ 7% ก็เทียบเท่าได้กับ ทั่วทั้งร่างกายของเรา ที่ได้มีการแลกเปลี่ยนสสาร เป็นของใหม่ และถ่ายเทของเก่าออกไป
แล้วถ้าในทางวิทยาศาสตร์คำนวณโดยนับจำนวนอะตอมในร่างกายเราทุกๆอะตอม การแลกเปลี่ยน 98% ที่เป็นของเก่าในร่างกายทั้งหมด และถ่ายเปลี่ยนออกไป...จะใช้ระยะเวลาประมาณ 1 ปี
(นี่เลยอาจจะเป็นการที่เราได้ Happy birthday และรู้สึกเกิดใหม่ทุกครั้งอยู่ในทุกๆปี)
มนุษย์เรามีการทำสิ่งนี้อยู่ตลอดเวลา ไม่ทำไม่ได้ สิ่งนั้นก็คือ การหายใจเข้าและการหายใจออก
ถ้าอ้างอิงจากคำสอนในศาสนาพุทธ ที่บอกว่า เรามีการเกิด และ ดับอยู่ตลอดเวลา มองให้เห็นเป็นภาพก็คงจะนึกถึง เปลวเทียน ที่ไม่ได้นิ่ง มันมีการเคลื่อนไหวตลอดเวลา เป็นเช่นว่าเรามีการแลกเปลี่ยนกับสิ่งรอบตัวอยู่ตลอดเวลานั่นเอง
อากาศที่เราหายใจอยู่ตรงนี้...3 วันที่แล้วอากาศตรงนี้อาจจะอยู่อีกที่ซีกโลกนึง
3 วันในข้างหน้า...อีกซีกโลกนึงก็จะได้รับอากาศที่เราหายใจออกไป
อากาศที่เราหายใจออก เดินทางไปเป็นเซลล์ เป็นดอกไม้ เป็นต้นไม้ในอีกฟากโลกนึง
มนุษย์กับโลกนั้น เป็นสิ่งเดียวกันก็คงเห็นว่าจะจริง เราเชื่อมโยงกันตลอดเวลา เราแลกเปลี่ยน เราเป็นสสารใหม่ วนเวียนอยู่อย่างนี้ เราไม่สามารถแยกโลกออกจากเราได้เลย คงเหลือซึ่งไว้คงเป็นจิตของเรา ที่ยังคงเป็นดวงเดิม
ดังนั้น การที่เราทำลายโลก มันก็เหมือนกับเราทำร้ายตัวเราเองเช่นกัน
คนบางคนอาจจะคิดว่า แล้วไง ฉันก็คือฉัน เดี๋ยวก็ตาย โลกก็ยังอยู่ไป แต่ลองฉุกคิดซักนิดว่า ก่อนตาย เราจะ ป่วยก่อนหรือไม่? แล้วเวลาเราป่วย มันทรมานนะ จำความรู้สึกกันได้หรือเปล่า?
ยกตัวอย่างเรื่องง่ายๆอย่างการกินสารเคมีที่ฉีดไปในเนื้อสัตว์ สารเคมีที่พ่นลงไปบนแปลงผักผลไม้
ได้แลกเปลี่ยน เข้าสู่กระบวนการย่อยโดยการกิน เข้ามาสู่เซลล์ในร่างกายของเรา ส่งผลต่อเราโดยตรง
และทางอ้อมที่ผลกระทบไปยังผู้อื่น หากเรานี่แหล่ะที่เป็นคนพ่นสารเคมีลงไปบนแปลงผักและจำหน่ายให้ผู้อื่นได้กิน

หากเราทำลายโลกด้วยสารเคมี ยังไงมันก็ย้อนกลับมาทำลายเราเช่นกัน โดยธรรมชาติและกฏของการแลกเปลี่ยน มีโรคเกิดขึ้นมาใหม่ๆมากมาย จากการใช้สารเคมี การรุกรานสัตว์ป่า และพฤติกรรมการบริโภค ทรัพยากรณ์ของมนุษย์ที่ปรับเปลี่ยนมาในทางที่เกินความจำเป็นมากขึ้น เรารุกล้ำพื้นที่ธรรมชาติ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนดูเป็นผลประโยชน์ไปหมด
คำถาม? : แล้วทำไมเรายังทำอะไรแบบนั้นอยู่ (แม้กระทั่งผู้เขียนเองก็ยังหัวเราะแห้งๆ) มันคงเป็นไปได้และยากมากหากเราจะต้องทำทุกอย่างทั้งหมดโดยที่ไม่กระทบอะไรเลย แต่ไม่มากก็น้อย เราคิดว่า เราอาจจะตระหนักอะไรหลายๆอย่าง จากเหตุการณ์โควิด-19 ที่ผ่านมาอยู่บ้าง หลายๆคนต่างความคิดกันไปถึงสิ่งต่างๆที่เราไม่เคยได้เห็นมาก่อน มันเกิดขึ้นได้เสมอ เราควรตระหนักและไตร่ตรองต่อโลกนี้ให้มากขึ้น
ที่ผ่านมาเราอาจจะหมกมุ่นกับการหาเงิน เราหมกมุ่นอยู่กับตำแหน่งสถานะในสังคม จนอาจจะลืมตัวเราที่แยกไม่ออกอีกคน คือโลกใบนี้
เอาหล่ะ ถ้าคุณอ่านมาถึงตรงนี้แล้ว หลายๆคนอาจจะมีอาการ โต้แย้ง สับสน และรู้สึกปฏิเสธ และตั้งคำถามว่า แล้วยังไง จะให้ฉันทำอะไร?
ไม่เป็นไร มันเป็นเรื่องธรรมดา ของมนุษย์ในยุคนี้ที่เราชินกับการเสาะหา และคิดค้น เสาะหาความสะดวกสบายมากกว่าการยอมรับความลำบาก จริงมั๊ย? แต่อย่างน้อย คุณอาจจะย้อนกลับไปอ่านอีกที ว่าทำไมเราจะต้องตระหนักมากกว่าเดิม...ซึมซับและทำความเข้าใจ วันละเล็ก วันละน้อย ปรับสมดุลย์ที่เคยทำร้ายโลกให้กลับมา เยียวยาให้โลกใบนี้ ไม่ใช่เพื่อใคร แต่เป็นเพื่อตัวคุณเอง

เพราะเราคือโลก และโลกก็คือเรา
รักษาสุขภาพนะคะทุกคน
อ้างอิง :
https://singjupost.com/everything-is-connected-heres-how-tom-chi-at-tedxtaipei-transcript/3/